ประเภทของศิลปะกระจกสี: ความงามของแสงและสีที่เล่าเรื่องได้
- kodchaponhk
- 27 พ.ค.
- ยาว 1 นาที
กระจกสีไม่ใช่แค่กระจกที่มีสีสัน แต่คือศิลปะที่ถ่ายทอดอารมณ์ เรื่องราว และแสง ผ่านงานฝีมือที่มีเสน่ห์และความประณีต ศิลปะกระจกสีมีต้นกำเนิดมายาวนานนับศตวรรษ และแม้จะเริ่มต้นจากการตกแต่งโบสถ์หรือวิหาร แต่ในปัจจุบันก็ได้พัฒนาไปสู่รูปแบบร่วมสมัยที่หลากหลาย ทั้งในเชิงการตกแต่งบ้าน ประติมากรรม และงานศิลป์สมัยใหม่
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ประเภทของศิลปะกระจกสี หลัก ๆ ตั้งแต่รูปแบบดั้งเดิมไปจนถึงแนวร่วมสมัย พร้อมอธิบายจุดเด่นของแต่ละแบบอย่างกระชับและชัดเจน
1. กระจกสีแบบดั้งเดิม (Leaded Stained Glass)
นี่คือรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด มักพบในหน้าต่างโบสถ์ วิหาร และอาคารเก่าแก่ วิธีการคือการตัดกระจกสีให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วประกอบเข้าด้วยกันด้วยเส้นรางตะกั่ว (lead came) ก่อนจะบัดกรีให้ติดกันอย่างแน่นหนา
จุดเด่น:
•ลวดลายซับซ้อน สื่อถึงเรื่องราวหรือความศรัทธา
•เหมาะกับงานศิลป์ทางศาสนาและประวัติศาสตร์
•ขนาดใหญ่ ติดตั้งกับหน้าต่างอาคาร
ตัวอย่างที่โด่งดัง: มักจะเป็นหน้าต่างกระจกสีตามโบสถ์ เช่น
หน้าต่าง, ฝรั่งเศส — แสดงเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลผ่านลวดลายดอกไม้และเรขาคณิต

2. กระจกสีแบบทิฟฟานี (Tiffany-Style / Copper Foil Method)
คิดค้นโดย Louis Comfort Tiffany ในปลายศตวรรษที่ 19 เทคนิคนี้ใช้แถบฟอยล์ทองแดงพันรอบขอบกระจกแต่ละชิ้น แล้วบัดกรีรวมกัน ทำให้สามารถสร้างลวดลายที่ละเอียดและเล็กได้ดีกว่าการใช้รางตะกั่ว รวมถึงมีรูปทรงโดยรวมโค้งงอได้ง่ายกว่า
งานที่นิยม:
•โคมไฟกระจกสี
•แผงหน้าต่าง ตู้โชว์
•กล่องเครื่องประดับ
ลวดลายมักได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ แมลงปอ นกยูง

3. กระจกสีแบบวาดลาย (Painted Stained Glass)
เป็นการวาดภาพลงบนแผ่นกระจกโดยตรง ด้วยสีพิเศษหรือผงเคลือบ จากนั้นนำไปเผาในเตาเผาเพื่อให้สีติดถาวร เหมาะกับงานที่ต้องการรายละเอียดสูง เช่น ใบหน้า ฉากเรื่องราว หรือแสงเงา
เหมาะสำหรับ:
•งานศิลปะเชิงศาสนา
•ภาพบุคคล
•การบูรณะกระจกโบราณ

4. กระจกฟิวส์ (Fused Glass)
เป็นการนำกระจกสีหลายชั้นวางซ้อนกันแล้วเผาในเตาให้หลอมรวมกันเป็นชิ้นเดียวโดยไม่ต้องใช้ตะกั่วหรือฟอยล์ เหมาะสำหรับงานตกแต่งร่วมสมัย
จุดเด่น:
•ผิวเรียบ ลวดลายดูทันสมัย
•ผสมสีและเท็กซ์เจอร์ได้หลากหลาย
•ใช้ทำจาน แจกัน พาเนลติดผนัง

5. กระจกดัดทรง (Slumped Glass)
คล้ายกับ fused glass แต่เน้นการใช้แม่พิมพ์ เมื่อเผาในเตา กระจกจะอ่อนตัวและยุบลงตามรูปทรงแม่พิมพ์ ใช้สร้างชิ้นงาน 3 มิติ เช่น ถ้วย ชาม หรือผนังตกแต่งที่มีมิติ

6. กระจกหนาทึบ Dalle de Verre (ดาลเดอแวร์)
แปลตรงตัวคือ “แผ่นกระจกหนา” เป็นเทคนิคที่ใช้กระจกสีหนาประมาณ 2–3 ซม. วางในแม่พิมพ์ปูนหรืออีพ็อกซี เน้นแสงและสีที่จัดจ้าน เหมาะกับงานสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่
ใช้ใน:
•อาคารสาธารณะ
•โบสถ์สมัยใหม่
•ศิลปะขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแรง

7. กระจกสีร่วมสมัย (Contemporary Stained Glass)
เป็นแนวทางใหม่ที่ศิลปินนำเทคนิคดั้งเดิมมาประยุกต์ให้เข้ากับงานศิลปะร่วมสมัย ทั้งแบบมินิมอล แอ็บสแตรกต์ หรือผสมกับวัสดุอื่น เช่น ภาพถ่ายหรือวัตถุรีไซเคิล
จุดเด่น:
•รูปทรงอิสระ
•ลวดลายไม่จำกัด
•เหมาะกับแกลเลอรี่และบ้านยุคใหม่

8. เครื่องประดับกระจกสี (Stained Glass Jewelry)
นำเทคนิค copper foil หรือ fused glass มาประยุกต์ทำเป็นงานเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ ต่างหู เข็มกลัด ให้สามารถพกพาความสวยงามของแสงและสีกระจกไปได้ในชีวิตประจำวัน

9. กระจกโมเสก (Mosaic Stained Glass)
ศิลปะแบบโมเสกใช้กระจกชิ้นเล็กเรียงต่อกันเป็นลวดลาย ติดด้วยปูนยาแนว (grout) เหมาะกับตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ถาด หรือผนัง
เหมาะกับ:
•งาน DIY
•สวนและระเบียงบ้าน
•เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง

แล้วคุณล่ะ ชอบแบบไหน?
กระจกสีแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่แตกต่างกัน หากคุณชอบกลิ่นอายคลาสสิกแบบยุโรป งาน leaded glass คือคำตอบ แต่ถ้าต้องการชิ้นงานแต่งบ้านสมัยใหม่ fused หรือ slumped glass ก็น่าสนใจไม่น้อย
หรือถ้าอยากพกความสวยงามของแสงไว้กับตัวทุกวัน ลองหาเครื่องประดับกระจกสีที่เหมาะกับคุณดูสิ!
สรุป
ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าต่างโบสถ์หรือจี้ห้อยคอเล็ก ๆ กระจกสีก็ยังคงเป็นงานศิลปะที่มีชีวิต แสดงออกถึงอารมณ์ ความศรัทธา และความสวยงามของแสงที่ไม่มีวันซ้ำกันเลยในแต่ละวัน
หากคุณกำลังมองหากระจกสีสักชิ้น หรือต้องการเริ่มต้นเรียนรู้ ลองเลือกสไตล์ที่ตรงกับตัวคุณ แล้วคุณจะพบว่า…แสงจากกระจกสี ไม่ได้แค่สวย แต่มันเล่าเรื่องแทนตัวคุณได้
________________________________________________________________________
Comments